AFSer Thailand Webboard

AFS Talk => Everything => Topic started by: ooOO Tantawan OOooDEN#49 on September 12, 2009, 11:14:52 PM

Title: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: ooOO Tantawan OOooDEN#49 on September 12, 2009, 11:14:52 PM
ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อ เพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม้ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

“ใครขโมยเงินไป” พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า “ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ”

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้….แล้วพูดว่า “ผมขโมยเองครับ”

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด

จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน

“ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย”

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

“พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะ มันผ่านไปแล้ว”

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป

แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี…

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้

ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า “ลูกเราทั้งคู่เรียนดีมากนะ”

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

“แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน”

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

“ผมไม่ต้องการเรียนต่อ ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว”

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่ “ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้”

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆทั่วทั้งหมู่บ้าน….เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆของน้องชายเบาๆ

และคิดว่าต้องให้น้องได้เรียนต่อ

ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้

แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ …….

วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะฉันกำลังหลับ

“พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ….

ผมจะไปหางานทำ…แล้วจะส่งเงินมาให้พี่”

ฉันนั่งอยู่บนเตียง

อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า…

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี...

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้านรวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับ

เป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ …

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า “มีชาวบ้านมาหาเธอ…อยู่ข้างนอกแน่ะ”

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง…

ฉันถามเขาว่า “ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ”

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

 “ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้ … ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก็ได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี”

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

“พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม”

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้วพูดว่า “ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง”

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี...

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

“แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ”

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า “แม่ไม่ได้จ้างหรอก… น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกหรือ

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ”

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด “เจ็บมากไหม” ฉันถาม

ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ…….

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา

น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง


“เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ”

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี…

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน…

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป …

เขาบอกกับฉันว่า “พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ

ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง”

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธาน ของบริษัทของครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท…

แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา… ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

“ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ…เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง”

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา “พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ

พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ

ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด”

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย …..

ฉันบอกกับน้องว่า “แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่…”

“ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ” น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน

ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า “ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้”

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล “พี่สาวของผมครับ”

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้...

“ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม.

เพื่อเดินไปเรียน…และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนัก

ผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ…

นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเอง

ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี และจะทำดีกับเธอ"

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก…

“ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ”

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง…

จงรักและห่วงใยคนที่คุณรัก ในทุกๆวัน ในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนๆนั้น อาจจะมีความหมายมากมายอย่างคาดไม่ถึง..


ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
หรือแม้แต่คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม



ปล. ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปี


ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนได และบริษัทในเครือกว่า 20 บริษัท
น้องชายอายุ 83 ปี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า “ซัมซุง”
และเรื่องราวของท่านทั้งสอง กำลังถูกนำมาสร้างเป็นซีรี่ย์

โดยดาราเล็กๆ สองคนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุค

บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง

 

http://www.siamsouth.com/smf/index.php/topic,7701.0.html 

Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: ooOO Tantawan OOooDEN#49 on September 12, 2009, 11:22:27 PM
มันอาจยาวไปหน่อยแต่อยากให้คุณได้อ่าน
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: 〓 Tåln✪Rus 〓 on September 12, 2009, 11:39:39 PM
ฐานจากความรักอีกเช่นกัน

Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: ฃื่อปั๊บคับ นอร์เวย์ คับ on September 13, 2009, 12:11:00 AM
บริษัทแซมซังก็เกิดขึ้นได้ฉะนี้ : ))
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: Field of Brazil #48 on September 13, 2009, 08:08:30 AM
ฟอเวิดเมลล์ นี้ มันเข้าเมลผมด้วยล่ะ
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: jeep ▼ ARG 48 on September 13, 2009, 09:57:35 AM
พระเจ้า ซัมซุงนี้เองงงงง
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: bEam.BRA49 ◕‿◕ on September 13, 2009, 11:23:07 AM
ซึ้งจริงๆ

Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: —•`Ñøëî ‚ ‚ ~ on September 13, 2009, 01:23:14 PM
ซึ้ง T^T

ตกลงอ่าน samsung ว่า ซัมซุง หรือว่า แซมซัง ToT
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: ฃื่อปั๊บคับ นอร์เวย์ คับ on September 13, 2009, 02:31:09 PM
แซมซัง 55+

อ่านซัมซุงอ่ะถูกแล้วงิ ตามภาษาอ่ะไรสักอย่าง (เกาหลี?)
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: pluplu France<3 on September 13, 2009, 02:43:05 PM
เราร้องให้เลยอ่ะ

เราก้มีน้องชาย แต่ทำไมไม่ดีแบบนีอ่าาา
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: BUNGKEE USA#49 on September 13, 2009, 04:25:35 PM
TT ซึ้งจิงๆ
โคดเป็นน้องที่ดีมากมาย
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: ooOO Tantawan OOooDEN#49 on September 15, 2009, 09:24:03 PM
มีใครไม่ซึ้งบ้าง
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: [G] u i t a [R]*48 สวีเดนจ้ะ :) on September 15, 2009, 09:40:04 PM
เคยอ่านใน FW mail แล้ว อ่านกี่ทีๆก้ซึ่ง

อยากมีแบบนี้มั้ง

ฮ่ะๆ
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: snory on September 15, 2009, 10:53:14 PM
ยังกะจำได้ว่า forward mail นี้มัน fake นะ
http://en.wikipedia.org/wiki/Lee_Byung-chul
คนที่ตั้งบริษัท Samsung จริงๆ เป็นลูกเศรษฐี

ส่วคนนี้ เป็นคนก่อตั้ง Hyundai
http://en.wikipedia.org/wiki/Chung_Ju-yung
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: €arthz ;;BRA#48 on September 15, 2009, 11:33:14 PM
อ่าวสรุป Fake เหรอ

แต่ถ้ามันมาเป็นละครจริงก็ กรี้ดดด

ซอง เฮ เคียว

ฮ่าๆ
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: ooOO Tantawan OOooDEN#49 on September 16, 2009, 07:58:51 PM
อ้าว

Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: MINNIE<3 ORD-Bus2 #49 on September 19, 2009, 02:40:50 AM
ชอบอ่ะ!!!

ดีมากๆ รู้สึกรักน้อง(คนอื่น)ขึ้นมาเลย

^^ 55
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: Sugar_cookie on September 19, 2009, 08:25:47 AM
สุดยอดค่ะ น่ารักมากๆ
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: Sun In SaNtA MaRiA on September 19, 2009, 11:25:26 AM
มันซึ้งนะครับ แต่ว่าถ้าเฟคจริง คงจะเสียความรู้สึกไม่น้อยทีเดียวล่ะ
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: Aoey Hungary#49 on September 28, 2009, 09:08:26 PM
ร้องไห้แล้ววว

T^T
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: F.ern__BRA#49 on September 28, 2009, 09:47:40 PM
O[]O ตอนแรกอ่านมาก็เฉยๆนะ

แต่พออ่านมาถึง บริษัทซัมซุง..

OMG !!! ขนลุก.. ยังไม่หายเลยเนี่ย 55+
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: น้ำตาล เมกา # 48 on October 01, 2009, 03:29:24 AM
miss my brothers


he's very good brothers


TT^TT
Title: Re: อ่านแล้วคุณจะซึ้ง
Post by: Bright USA#48 MN on October 01, 2009, 08:29:29 AM
fake